จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

Quiz การสารธารณสุขพื้นฐาน

โจทย์


๑.  ความสำคัญของงานสาธารณสุขมูลฐานในระยะเริ่มแรก คือข้อใด 
     ก. เพื่อขยายบริการด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุม
     ข. เพื่อพัฒนาคุณภาพของสถานบริการให้ได้มาตรฐาน
     ค. เพื่อให้ประชาชนทุกคนมีหลักประกันทางด้านสุขภาพ
     ง. เพื่อพัฒนาการพึ่งตนเองด้านสุขภาพในระดับผู้นำสุขภาพประจำครอบครัว
๒. ข้อใด คือความหมายของ สาธารณสุขมูลฐาน
     ก. การขยายสถานบริการของภาครัฐและเอกชน ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
     ข. การที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองด้านสุขภาพได้ ก่อนจะใช้บริการของรัฐ
     ค. การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย สะดวกรวดเร็วในการให้บริการด้านสาธารณสุข 
     ง. การพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรทางด้านสุขภาพให้มีความชำนาญเฉพาะทาง
๓. พัฒนาการงานสาธารณสุขมูลฐานด้าน การใช้ จปฐ. เป็นเครื่องมือในการพัฒนาคุณภาพชีวิต 
เริ่มเกิดขึ้นในแผนพัฒนาการสาธารณสุข ฉบับใด
     ก. แผนฯ ๔
     ข. แผนฯ ๕
     ค. แผนฯ ๖
     ง. แผนฯ ๗
๔. ข้อใด คือ ไม่ใช่ องค์ประกอบของสาธารณสุขมูลฐาน( Essential Element PHC )
    ก. การทันตสาธารณสุข
    ข. การป้องกันอุบัติเหตุ
    ค. การเฝ้าระวังโรคติดต่อ 
    ง. การสร้างหลักประกันสุขภาพ 
๕. การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่วิธีข้อใด สอดคล้องกับการมีส่วนร่วมของประชาชนในระดับสูงสุด
    ก. แจกพันธุ์ปลาไปเลี้ยง
    ข. สอนวิธีแปรรูปผลิตภัณฑ์ปลา
    ค. บอกเทคนิควิธีการตกปลา
    ง. แนะนำให้ขุดสระเลี้ยงปลา

ตอบ
๑. ก. เพื่อขยายบริการด้านสาธารณสุขให้ครอบคลุม
๒. ข. การที่ประชาชนสามารถพึ่งตนเองด้านสุขภาพได้ ก่อนจะใช้บริการของรัฐ
๓. ข. แผนฯ ๕
๔. ง. การสร้างหลักประกันสุขภาพ 
๕. ค. บอกเทคนิควิธีการตกปลา

Quiz จังหวะคิวบา รุมบ้า

คำถาม


๑. จังหวะคิวบา รุมบ้า จัดเป็นจังหวะแบบใด
     ก. ละตินอเมริกา  ข. ฝรั่งเศส  ค. อังกฤษ  ง. แอฟริกา
๒. รูปแบบการนับจังหวะของคิวบา รุมบ้าเป็นอย่างไร
     ก. เร็ว เร็ว เร็ว       ข. ช้า ช้า ช้า
     ค. ช้า เร็ว เร็ว        ง. เร็ว ช้า ช้า
๓. จุดสำคัญในจังหวะคิวบา รุมบ้าอยู่ที่ใด
     ก. มือ  ข. หัว  ค. ขา  ง. เท้า
๔. ข้อใดไม่ใช่ทักษะการเต้นรำของคิวบา รุมบ้า
     ก. สแควร์  ข. การไขว้  ค. การหมุน  ง. การกระโดด
๕. จังหวะรุมบ้า คล้ายจังหวะใด
     ก. รำไทย  ข. วอลทซ์  ค. แจ๊ส  ง.บลูส์

.........................................................................................................................


ตอบ
๑. ก. ละตินอเมริกา
๒. ค. ช้า เร็ว เร็ว
๓. ง. เท้า
๔. ง. การกระโดด
๕. ข. วอลทซ์

วันอาทิตย์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2555

การสาธารณสุขพื้นฐาน

การสาธารณสุขมูลฐาน

การสาธารณสุขมูลฐาน เป็นกลวิธีทางการสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นจากระบบบริการสาธารณสุข ของรัฐ ซึ่งมีอยู่ในระดับตำบลและหมู่บ้าน การสาธารณสุขมูลฐานเป็นวิธีการให้บริการ สาธารณสุขที่ผสมผสานทั้งทางด้านการรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพ การป้องกันโรค และการฟื้นฟูสภาพ ที่ดำเนินการโดยประชาชนเอง ซึ่งประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมในการวางแผนการดำเนินงานและการประเมินผล โดยได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐในด้านวิชาการ ข้อมูลข่าวสาร การให้การศึกษา ฝึกอบรมและระบบส่งต่อผู้ป่วย โดยอาศัยทรัพยากรที่มีอยู่ในท้องถิ่นเป็นหลัก


นอกจากนี้ การสาธารณสุขมูลฐานยังเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาชุมชน เพื่อให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง โดยอาศัยการพัฒนาสาธารณสุขผสมผสานไปกับการพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น การศึกษา การเกษตรและสหกรณ์ การพัฒนาชุมชน ฯลฯ โดยอาศัยความร่วมมือของชุมชนในเรื่องต่าง ๆ เช่น ความคิด แรงงาน เงิน หรือทรัพยากรอื่น ๆ ที่สามารถหาได้ในท้องถิ่น ความร่วมมือเหล่านี้จะต้องเป็นความต้องการและความสมัครใจของชุมชนเอง ในอันที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเพื่อตัวของเขาเอง เพื่อครอบครัว และเพื่อชุมชนของเขา โดยมิได้หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น


นอกจากงานสาธารณสุขมูลฐานจะได้ชื่อว่าเป็นจุดศูนย์กลางของการผสมผสานของงานต่าง ๆ ภายในหน่วยงานของกระทรวงสาธารณสุขด้วยกัน นอกจากนี้ยังมีความสำคัญเกี่ยวโยงกับงานพัฒนาด้านอื่น ๆ อีกด้วย ทั้งนี้เพราะเหตุว่าการพัฒนางานสาธารณสุขแต่เพียงส่วนเดียว ไม่สามารถที่จะขจัดปัญหาสาธารณสุขของประเทศได้ เพราะว่างานสาธารณสุขนั้น จะต้องควบคู่กันไปกับงานพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคมของประชาชน เช่น รายได้ การครองชีพ อาชีพ ภาวะการศึกษา เป็นต้น ด้วยเหตุนี้การสาธารณสุขมูลฐาน จึงเป็นจุดศูนย์กลางที่สำคัญของการผสมผสานระหว่างงานสาธารณสุข และงานพัฒนาในด้านเศรษฐกิจและสังคม


ความสำคัญของการสาธารณสุขมูลฐาน


นโยบายพัฒนาชนบทและเขตเมืองเป็นนโยบายที่สำคัญของรัฐบาล ในอันที่จะทำให้ประชาชนที่มีฐานะยากจน ด้อยการศึกษา และมีสถานภาพทางสุขภาพต่ำ ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ส่วนที่ดีอยู่แล้วก็ให้รักษาระดับไว้ได้หรือดียิ่งขึ้นไป
ทั้งนี้เพราะรัฐบาลเล็งเห็นว่าสุขภาพอนามัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญที่จะเอื้อต่อการพัฒนาประเทศ ดังนั้น รัฐบาลจึงได้เร่งระดมทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาดำเนินการในการให้บริการสาธารณสุขให้แก่ประชาชน แต่บริการสาธารณสุขเหล่านั้น ยังไม่สามารถครอบคลุมประชากรส่วนใหญ่ได้ ทั้งนี้เพราะงบส่วนใหญ่นำไปใช้ในการจัดสร้างสถานบริการสาธารณสุขต่าง ๆ ตลอดจนวัสดุอุปกรณ์และสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดบริการสาธารณสุข นอกจากมีงบประมาณจำกัดแล้ว การกระจายบุคลากรทางการแพทย์และการสาธารณสุขยังอยู่ในสภาพที่ไม่สมดุลย์กันอีกด้วย โดยยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองหลวงหรือตามเมืองใหญ่ และประชาชนยังขาดความรู้ในเรื่องสุขภาพอนามัยและประโยชน์ของสถานบริการสาธารณสุขของรัฐที่มีอยู่ ด้วยเหตุนี้บริการสาธารณสุขที่รัฐจัดให้จึงเป็นบริการที่ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ทัน ถ้าหากไม่หากลวิธีในการแก้ปัญหาเสียใหม่ ซึ่งกลวิธีนั้นก็คือ กลวิธีในการพัฒนาประชาชนให้เกิดความรู้ความสามารถที่จะช่วยเหลือ หรือดำเนินการสาธารณสุขที่จำเป็นขั้นมูลฐานหรือขั้นพื้นฐานได้ด้วยตัวของเขาเอง โดยวิธีการอย่างนี้ก็จะมีงานสาธารณสุขที่ประชาชนทำได้และประชาชนทำไม่ได้ รัฐบาลจะทำในสิ่งที่ประชาชนทำไม่ได้ และจะต้องพัฒนาให้ประชาชนเกิดความสามารถทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้ โดยอาศัยวิทยาการและวิทยากรต่าง ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้พอจะมองเห็นได้ว่าทรัพยากรไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นมากมาย แต่บริการสาธารณสุขที่จำเป็นขั้นมูลฐานหรือขั้นพื้นฐานสามารถเข้าถึงประชาชนได้อย่างทั่วถึงทุกคน


ดังนั้นการที่จะขยายบริการสาธารณสุขให้ครอบคลุมประชากรในชนบทให้ได้มากยิ่งขึ้นนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเอาประชาชนมามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชุมชน และใช้ทรัพยากรในท้องถิ่นที่มีอยู่ด้วยวิธีหรือเทคโนโลยีที่เหมาะสม ทั้งนี้โดยประสานความคิดและความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ของรัฐอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบของอาสาสมัครสาธารณสุข โดยภาครัฐให้การสนับสนุนเรื่องต่าง ๆ ตลอดจนให้ความรู้ด้านสาธารณสุขที่จำเป็นแก่อาสาสมัครสาธารณสุข ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากประชาชนในชุมชนของตนเอง แนวความคิดในลักษณะนี้เรียกว่า "การสาธารณสุขมูลฐาน"


ความสำคัญของงานสาธารณสุขมูลฐานนั้นอยู่ที่ว่า ประชาชนจะต้องมีส่วนร่วมและเป็นเจ้าของในงานสาธารณสุขที่จำเป็นเบื้องต้นหรือมูลฐาน คืองานด้านการดูแลรักษาโรคหรือการเจ็บป่วยที่จำเป็น การรู้จักระวังและป้องกันโรคติดต่อที่สำคัญ ๆ และพบบ่อยในหมู่บ้าน การมีความรู้ทางด้านสาธารณสุข เช่น สุขาภิบาล อาหาร อนามัยแม่และเด็ก การวางแผนครอบครัว การฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย เป็นต้น โดยความรู้เหล่านี้ไม่ใช่เพียงแต่รู้อยู่เฉพาะคนหนึ่งคนใด แต่จะต้องมีการแพร่กระจายความรู้ดังกล่าวรวมถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลไปสู่เพื่อนบ้านและชุมชนด้วย ภาระกิจเหล่านี้ เป็นสิ่งที่รัฐบาลโดยระบบบริการของรัฐมีความปารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะให้บังเกิดขึ้นแก่ประชาชนทุกคน


การสาธารณสุขมูลฐาน จึงเป็นกลวิธีที่เหมาะสมในอันที่จะสามารถช่วยให้การบริการสาธารณสุขผสมผสานทั้งด้านป้องกันโรค การรักษาพยาบาล การส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสภาพ สามารถให้การดำเนินการดังกล่าวครอบคลุมประชากรได้อย่างทั่วถึง และสามารถที่จะนำ้ประชาชนส่วนใหญ่มุ่งไปสู่การมีสุขภาพดีถ้วนหน้า สมดังความปารถนาขององค์การอนามัยโลก ที่ตั้งความหวังไว้ว่า ในปี พ.ศ. 2543 ที่ผ่านมานั้น ประชาชนทุกคนจะมีสุขภาพดีถ้วนหน้าตามที่ควรจะเป็น ตามสภาพเศรษฐกิจและสภาพของท้องถิ่น งานสาธารณสุขมูลฐาน จึงเป็นกลวิธีที่สำคัญที่เสริมบริการสาธารณสุขของรัฐให้ได้ผลครอบคลุมประชาชนทุกคน โดยที่ไม่ต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมากนัก ซึ่งทุกประเทศทั่วโลกต่างก็เห็นพ้องต้องกันในหลักการและกลวิธีของการสาธารณสุขมูลฐาน และกลวิธีนี้ไม่จำเพาะต้องจำกัดอยู่ในเฉพาะประเทศที่ด้อยพัฒนาหรือที่กำลังพัฒนาเท่านั้น เพราะแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็กำลังหันกลับมาใช้กลวิธีนี้เช่นเดียวกัน


องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐาน


องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐานของประเทศไทยนั้น มีความสอดคล้องกับปัญหาและความต้องการของประชาชน โดยเป็นองค์ประกอบที่มีความเชื่อมโยงกับงานบริการสาธารณสุขพื้นฐาน (Basic Health Service) ซึ่งรัฐบาลได้เป็นผู้จัดให้แก่ประชาชน


องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐานดังกล่าวประกอบด้วยการบริการแบบผสมผสาน 4 ด้าน คือ การป้องกันโรค การส่งเสริมสุขภาพอนามัย การรักษาพยาบาล การฟื้นฟูสภาพ ซึ่งสามารถแยกออกเป็นงานที่ประชาชนสามารถดำเนินการได้ด้วยตนเอง ออกเป็นงานต่าง ๆ ซึ่งเรียกว่าเป็นองค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐาน จำนวน 14 องค์ประกอบคือ


1. งานโภชนาการ อสม. มีหน้าที่กระตุ้นเตือนให้ประชาชนได้ตระหนักถึงปัญหาโภชนาการที่เกิดขึ้น เช่น โรคขาดสารอาหารในเด็ก 0-5 ขวบ หรือเด็กแรกเกิดมีน้ำหนักต่ำเป็นต้น โดยร่วมมือกับกรรมการหมู่บ้าน ผู้นำ กลุ่มแม่บ้าน ในการค้นหา สำรวจสภาวะอนามัยเด็ก ชั่งน้ำหนักเด็ก 0-5 ขวบ ทุกคนเป็นประจำ เมื่อพบเด็กคนใดที่ขาดสารอาหารก็ดำเนินการให้อาหารเสริมโดยเร็ว ให้ความรู้แก่แม่ในการให้อาหารแก่ทารก ตลอดจนส่งเสริมการปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ เพื่อนำมาเป็นอาหาร




2. งานสุขศึกษา ให้สุขศึกษาในเรื่องต่าง ๆ เช่น ปัญหาสาธารณสุขของท้องถิ่น การร่วมกันแก้ไขปัญหา เผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคและการส่งเสริมสุขภาพอนามัยให้แก่ประชาชนในหมู่บ้านหรือชุมชน


3. การรักษาพยาบาล อสม. ให้การรักษาพยาบาลที่จำเป็นเบื้องต้นแก่ชาวบ้าน ชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงความสามารถของ อสม. ในการรักษาพยาบาล และชี้แจงให้ทราบถึงสถานบริการของรัฐ ตลอดจนส่งต่อผู้ป่วยถ้าเกินความสามารถของ อสม.


4. การจัดหายาที่จำเป็น ดำเนินการจัดตั้งกองทุนยาและเวชภัณฑ์ประจำหมู่บ้าน หรือจัดหายาที่จำเป็นไว้ให้บริการในศูนย์สาธารณสุขมูลฐานชุมชน (ศสมช.) และดำเนินการให้ประชาชนสามารถซื้อยาที่จำเป็นเหล่านี้จากกองทุน หรือ ศสมช. ได้สะดวก รวดเร็ว และมีราคาถูก


5. การสุขภิบาลและจัดหาน้ำสะอาด อสม. ชี้แจงให้ประชาชน กรรมการหมู่บ้าน ทราบถึงความสำคัญของการจัดหาน้ำสะอาดไว้ดื่ม การสร้างส้วม การกำจัดขยะมูลฝอย และการจัดบ้านเรือนให้สะอาด เป็นต้น


6. อนามัยแม่และเด็กและการวางแผนครอบครัว อสม. ชี้แจงและจูงใจให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญของการวางแผนครอบครัว ความจำเป็นของการดูแลก่อนคลอด (การฝากครรภ์) และการดูแลหลังคลอด นัดหมายมารดามารับบริการและความรู้ในการปฏิบัติตน การกินอาหาร ชั่งน้ำหนัก และวัดความดันโลหิต นัดเด็กมารับการฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดต่อ


7. งานควบคุมป้องกันโรคติดต่อในท้องถิ่น อสม. ชี้แจงให้ประชาชนทราบว่าในหมู่บ้านมีโรคอะไรที่เป็นปัญหา เช่น โรคอุจาระร่วง โรคพยาธิ ไข้เลือดออก ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการป้องกันและรักษา รวมทั้งการร่วมมือกันในการดำเนินการควบคุมและป้องกันมิให้เกิดโรคระบาดขึ้นได้


8. การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค อสม. ชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงความสำคัญของการให้วัคซีนป้องกันโรคติดต่อ และนัดหมายเจ้าหน้าที่ออกไปให้บริการแก่ประชาชนตามจุดนัดพบต่าง ๆ


9. การส่งเสริมสุขภาพฟัน อสม. ชี้แจงและให้ความรู้กับประชาชนถึงการดูแลฟัน การรักษาสุขภาพช่องปากและฟัน นัดหมายประชาชนให้มารับบริการในสถานบริการหรือเมื่อมีหน่วยทันตกรรมเคลื่อนที่เข้ามาในชุมชน


10. การส่งเสริมสุขภาพจิต อสม. ชี้แจงให้ประชาชนทราบถึงการส่งเสริมสุขภาพจิต การค้นหาผู้ป่วยในระดับชุมชน เพื่อจะได้รับการแนะนำ การรักษาที่ถูกต้อง


11. อนามัยสิ่งแวดล้อม อสม. ร่วมถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับงานอนามัยสิ่งแวดล้อมกับประชาชน ประชาชนทุกคนเฝ้าระวังมิให้มีการกระทำที่ก่อให้เกิดมลภาวะ องค์กรชุมชนร่วมกันวางแผนแก้ปัญหาของชุมชนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ ส่งเสริมและให้ความรู้เรื่องสารเคมีในการเกษตร แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการกับผู้กระทำผิด


12. คุ้มครองผู้บริโภค อสม. ร่วมกับประชาชนสอดส่องดูแลพฤติกรรมของร้านค้า รถขายยาเร่ ฯลฯ หากพบเห็นผู้กระทำผิดกฏหมายก็แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อดำเนินการ อสม.ร่วมกันให้ความรู้แก่เพื่อนบ้านในการเลือกซื้อสินค้า เช่น อาหาร เครื่องปรุงรส ขนม เครื่องสำอางที่มีมาตรฐานตามเกณฑ์ อย. มาใช้ ตลอดจนอาจจัดตั้งกลุ่ม ชมรม เพื่อร่วมมือประสานงานกันดูแลประชาชนในพื้นที่


13. การป้องกันควบคุมอุบัติเหตุ อุบัติภัย และโรคไม่ติดต่อ อสม. ร่วมกันค้นหาผู้ป่วยเบาหวาน ความดันโลหิต มะเร็ง พร้อมทั้งจัดทำทะเบียนรายชื่อผู้ป่วยเพื่อรับการรักษาหรือส่งต่อ วิธีการปฏิบัติตนให้พ้นจากการเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อต่าง ๆ ให้ความรู้แก่ประชาชนถึงแนวทางการป้องกันและควบคุมอุบัติเหตุ อุบัติภัย ตลอดจนสร้างเสริมความมีน้ำใจและเอื้ออาทรต่อผู้พิการในชุมชนและร่วมกันฟื้นฟูสภาพผู้พิการ


14. เอดส์ อสม. ให้ความรู้กับประชาชนให้ทราบถึงความสำคัญ และความจำเป็นในการควบคุมป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ ร่วมกันจัดกิจกรรมรณรงค์ให้ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และการปฏิบัติที่ถูกต้องในการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ ตลอดจนมีความสามารถในการดูแลผู้ป่วยเอดส์ ให้สามารถอาศััยอยู่ในชุมชนได้โดยชุมชนยอมรับ และไม่แพร่กระจายโรคเอดส์สู่คนในชุมชน


องค์ประกอบของงานสาธารณสุขมูลฐานทั้ง 14 องค์ประกอบนี้ ไม่จำเป็นต้องเริ่มทีเดียวพร้อมกันหมดทุกอย่าง อาจจะเริ่มในเรื่องที่ประชาชนคิดว่าเป็นเรื่องที่มีความจำเป็นจริง ๆ ของชุมชนของตนเองก่อน แล้วภายหลังต่อมาก็ขยายต่อไปได้อีก และถ้าหากชุมชนใดไม่มีปัญหาในบางเรื่องเหล่านี้ องค์ประกอบที่ดำเนินการก็อาจลดลงได้ตามสภาพของความเป็นจริงของชุมชนนั้น ๆ

จังหวะคิวบา รุมบ้า (cuban rumba)

รุมบ้า (RUMBA)


  • การเต้นรำจังหวะรุมบ้า
    รุมบ้าเป็นจังหวะที่จัดอยู่ในพวกลาตินอเมริกัน (Latin American) กำเนิดขึ้นในชนชาติหมู่เกาะคิวบา จังหวะนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่แพร่ออกสู่โลกลีลาศหลังแทงโก้ (Tango) และวอลทซ์ (Waltz) ปัจจุบันนี้จังหวะรุมบ้า (Rumba) เป็นที่รู้จักกับคนทั่วโลกมาเป็นเวลานานแล้ว ลักษณะการลีลาศจังหวะรุมบ้าเป็นการลีลาศคล้ายๆ จังหวะวอลทซ์ แต่จังหวะค่อนข้างเร็วกว่า การก้าวเท้าก็สั้นกว่า และนอกจากนี้รุมบ้ายังต้องใช้สะโพกเคลื่อนไหวให้สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของเท้าด้วย คือนับตั้งแต่เอวลงไปให้โยกหรือส่ายสะโพกได้เล็กน้อยให้ดูแต่พองาม ถ้าโยกหรือส่ายมากจะดูเป็นเรื่องน่าเกลียดไป และไม่สวยงามด้วย
  • การใช้สะโพกเคลื่อนไหวให้สัมพันธ์กับการก้าวเท้านั้น เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องฝึก ผู้ฝึกใหม่อาจจะฝืนตัวเองเล็กน้อย เพราะผู้ฝึกใหม่ส่วนมากใจมักจะมุ่งอยู่ที่การก้าวเท้าให้ถูกสเต็ปเท่านั้น ความสวยงามของรุมบ้านั้นอยู่ที่การก้าวเท้า การถ่ายเทน้ำหนักตัว และการใช้สะโพก ทั้งสามอย่างนี้ต้องให้สัมพันธ์กันและเป็นไปตามหลักธรรมชาติ ส่วนลำตัวตั้งแต่เอวขึ้นไปให้อยู่ในลักษณะตรงแบบสบายๆ ไม่เกร็ง ไม่ยืดคอ ไม่แอ่นอก ไม่ทำหลังค่อม และไม่เอียงตัวไปมา
  • การนับจังหวะ
    จังหวะนับ นับ ช้า ช้า เร็ว หรือนับ 1 2 3
  • ข้อสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการลีลาศจังหวะรุมบ้าก็คือ การใช้เท้า โดยเฉพาะการใช้สปริง ข้อเท้าและที่หัวเข่า ซึ่งมีทั้งเหยียดตึงและงอ การใช้สปริงข้อเท้าจะเกิดบ่อยขณะที่ก้าวเท้า เมื่อเท้าใดก้าวไปแตะพื้น น้ำหนักตัวก็ต้องเทไปที่เท้านั้นทุกครั้งไปพร้อมกับใช้สปริงที่ข้อเท้าด้วย


การจับคู่


                                              



ภาพที่ 1 การจับคู่ที่ถูกต้อง


  • ทักษะการเต้นรำจังหวะรุมบ้า
    1. สแควร์ (Square)
    2. การไขว้
    3. การหมุน



สแควร์ (Square)




ภาพที่ 2 ท่าสแควร์


การก้าวเท้าขั้นต้น (Basic Walk) ในท่าสแควร์ของฝ่ายชาย


การก้าวเท้าขั้นต้น (Basic Walk) เป็นทักษะขั้นแรกของรุมบ้า และเป็นวิธีฝึกที่ง่าย เพราะลักษณะการก้าวเท้าเดินนั้นเหมือนจังหวะวอลทซ์ ผิดกันก็ตรงที่จังหวะการก้าวเท้าเร็วกว่ากัน และการใช้สะโพกโยกเล็กน้อยเท่านั้น
การจับคู่ จับแบบปิด หันหน้าตามแนวลีลาศ


  • จังหวะนับมี 3 ก้าว คือ 1 2 3 หรือ ช้า ช้า เร็ว
    ก้าวที่ 1 ก้าวเท้าซ้ายออกไปข้างหน้า นับ 1 ช้า
    ก้าวที่ 2 ก้าวเท้าขวาเยื้องขวาไปข้างหน้า ให้ปลายเท้าอยู่ระดับเดียวกับ
    ปลายเท้าซ้าย นับ 2 ช้า
    ก้าวที่ 3 ลากเท้าซ้ายไปชิดเท้าขวาเร็วๆ นับ 3 เร็ว
  • *เมื่อจบแล้วให้รีบก้าวเท้าขวาออกไปแล้วนับ 1 ใหม่ *


ก้าวที่ 1 ก้าวเท้าขวาออกไปข้างหน้า นับ 1 ช้า
ก้าวที่ 2 ก้าวเท้าซ้ายเยื้องซ้ายไปข้างหน้า ให้ปลายเท้าซ้ายเสมอระดับ
ปลายเท้าขวา นับ 2 ช้า
ก้าวที่ 3 ลากเท้าขวามาชิดเร็วๆ นับ 3 เร็ว



เมื่อทำการก้าวขั้นต้น เดินหน้าได้แล้ว ก็ลองทำการก้าวเท้าขั้นต้นเดินถอยหลังดูบ้าง ซึ่งลักษณะการเดินก็เหมือนกันกับเดินหน้า เป็นแต่เพียงถอยหลังเท่านั้น หรือจะไปดูการก้าวเท้าขั้นต้นของหญิงก็ได้ ซึ่งเป็นการก้าวเท้าขั้นต้นถอยหลัง
การก้าวเท้าขั้นต้น (Basic Walk) ในท่าสแควร์ของฝ่ายหญิง
เป็นทักษะขั้นแรกของรุมบ้าซึ่งมีลักษณะการเดินและแบบ (Figure) เหมือนจังหวะวอลทซ์เสียส่วนมาก จะแตกต่างกันก็ตรงที่จังหวะการก้าวเท้าเร็วกว่ากัน และการใช้สะโพกส่ายให้สัมพันธ์กับการก้าวของเท้าเท่านั้น
การจับคู่ จับแบบปิด หันหน้าเข้าหาคู่


  • จังหวะนับมี 3 จังหวะ คือ 1 2 3 หรือ ช้า ช้า เร็ว
    ก้าวที่ 1 ก้าวเท้าขวาถอยหลัง นับ 1 ช้า
    ก้าวที่ 2 ก้าวเท้าซ้ายถอยหลังเยื้องซ้าย ให้ปลายเท้าซ้ายเสมอระดับ
    ปลายเท้าขวา นับ 2 ช้า
    ก้าวที่ 3 ลากเท้าขวามาชิดเท้าซ้ายเร็วๆ นับ 3 เร็ว
  • *เมื่อจบแล้วให้เริ่มก้าวเท้าซ้ายถอยหลังไปโดยเร็ว นับ 1 ใหม่ *
    ก้าวที่ 1 ถอยเท้าซ้ายไปข้างหลัง นับ 1 ช้า
    ก้าวที่ 2 ถอยเท้าขวาไปข้างหลังเยื้องขวา นับ 2 ช้า
    ก้าวที่ 3 ลากเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวาเร็วๆ นับ 3 เร็ว
    เมื่อทำการก้าวขั้นต้น ถอยหลังได้แล้ว ก็ลองทำการก้าวเท้าขั้นต้นเดินหน้าดูบ้าง ซึ่งลักษณะการเดินก็เหมือนกันกับการก้าวเท้าขั้นต้นถอยหลัง ผิดกันแต่เพียงเดินหน้ากับถอยหลังเท่านั้น หรือจะไปดูการก้าวเท้าขั้นต้นเดินหน้าของชายก็ได้


  • การก้าวเท้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมขั้นต้น (Basic Square) ของฝ่ายชาย


- การลีลาศเป็นรูปสี่เหลี่ยม คือ ลักษณะการลีลาศจะเป็นเดินหน้าหนึ่งครั้ง และถอยหลังหนึ่งครั้งสลับกันไป
- จังหวะนับ จะนับทั้งเดินหน้าและถอยหลังรวมกัน มี 6 ก้าว
- การจับคู่และการยืน จับคู่แบบปิด หันหน้าตามแนวลีลาศ เท้าชิด ตัวตรง


ก้าวที่ 1 ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า นับ 1 ช้า
ก้าวที่ 2 ก้าวเท้าขวาเฉียงขวาไปข้างหน้า นับ 2 ช้า
ก้าวที่ 3 ลากเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา นับ 3 เร็ว
ก้าวที่ 4 ถอยเท้าขวาไปวางข้างหลัง นับ 4 ช้า
ก้าวที่ 5 ถอยเท้าซ้ายเฉียงซ้ายไปข้างหลัง นับ 5 ช้า
ก้าวที่ 6 ลากเท้าขวามาชิดเท้าซ้าย นับ 6 เร็ว


  • การก้าวเท้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมขั้นต้น (Basic Square) ของฝ่ายหญิง


- เป็นการเต้นรูปสี่เหลี่ยม ลักษณะการเต้นจะมีทั้งเดินหน้า และถอยหลังสลับกันไป
- จังหวะนับ จะนับทั้งเดินหน้าและถอยหลังรวมกัน คือมี 6 จังหวะ
- การจับคู่และการยืน ยืนหันหน้าเข้าหาคู่ คือหน้าย้อนแนวลีลาศ การจับคู่ให้จับแบบปิด


ก้าวที่ 1 ถอยเท้าขวาไปข้างหลัง นับ 1 ช้า
ก้าวที่ 2 ถอยเท้าซ้ายเยื้องไปทางซ้าย นับ 2 ช้า
ก้าวที่ 3 ลากเท้าขวามาชิดเท้าซ้าย นับ 3 เร็ว
ก้าวที่ 4 ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า นับ 4 ช้า
ก้าวที่ 5 ก้าวเท้าขวาเยื้องไปทางขวา นับ 5 ช้า
ก้าวที่ 6 ลากเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา นับ 6 เร็ว


การไขว้




ภาพที่ 3 การไขว้


  • การไขว้ของฝ่ายชาย


- การไขว้ ก็คือ การทำการก้าวเท้าขั้นต้น มี 3 ก้าว
การไขว้ เป็นการทำคั่นระหว่างหันทางซ้าย (Reverse Square) กับหันทางขวา (Natural Square) หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตัวเชื่อมระหว่างหันทางซ้ายกับหันทางขวา หรือระหว่างหันทางขวากับหันทางซ้ายนั่นเอง


- สมมติว่าทำหันทางซ้ายมาแล้ว ต่อไปจะหันทางขวา ให้เริ่มทำการไขว้ ดังนี้ ยืนหันหน้าเฉียงฝาตามแนวลีลาศ
- การจับคู่ จับแบบปิด


  • จังหวะนับมี 3 จังหวะ
    ก้าวที่
    1 ก้าวเท้าซ้ายไปข้างหน้า นับ 1 ช้า
    ก้าวที่ 2 ก้าวเท้าขวาเฉียงไปทางขวา นับ 2 ช้า
    ก้าวที่ 3 ลากเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา นับ 3 เร็ว
  • *เมื่อทำครบ 3 ก้าวแล้ว ก็เริ่มทำหันทางขวาได้ โดยการก้าวเท้าขวาบิดไปทางขวา *





  • การไขว้ของฝ่ายหญิง


- การไขว้ ก็คือ การทำการก้าวเท้าขั้นต้น มี 3 ก้าว
การไขว้ เป็นการทำ 3 ก้าวก่อนที่จะทำหันทางขวา และก่อนที่จะทำหันทางซ้าย หรือพูดง่ายๆ ก็คือ เป็นตัวเชื่อมระหว่างหันทางขวากับหันทางซ้าย หรือระหว่างหันทางขวากับหันทางซ้ายนั่นเอง
*สมมติว่าทำหันทางซ้ายมาแล้ว ต่อไปจะหันทางขวา ให้เริ่มทำการไขว้ คั่นก่อน 3 ก้าวดังนี้ยืนหันหน้ากลางห้องย้อนแนวลีลาศ*
- การจับคู่ จับแบบปิด


ก้าวที่ 1 ถอยเท้าขวาไปข้างหลัง นับ 1 ช้า
ก้าวที่ 2 ถอยเท้าซ้ายเยื้องไปทางซ้าย นับ 2 ช้า
ก้าวที่ 3 ลากเท้าขวามาชิดเท้าซ้าย นับ 3 เร็ว


  • *เมื่อทำครบ 3 ก้าวแล้ว ต่อไปก็ทำหันทางขวาได้ โดยการถอยเท้าซ้ายเฉียงซ้ายไปข้างหลัง*


การหมุน




ภาพที่ 4 การหมุน


  • การหมุนของฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
    ฝ่ายชายยืนหันหน้าทวนเข็มนาฬิกาตามทิศทางของฟลอร์เต้นรำ
  • การจับคู่ จับแบบปิด


- ชาย ก้าวเท้าซ้ายเฉียงไปข้างหน้า 45 องศา
- หญิง ถอยเท้าขวาเฉียงลงไปด้านล่าง 45 องศา
- ชาย ก้าวเท้าขวา บิดตัวกลับหลังหัน ลากเท้าซ้ายมาชิดเท้าขวา และแยกเท้าขวาเฉียงลงด้านล่าง 45 องศา
- หญิง ก้าวเท้าซ้าย บิดตัวกลับหลังหัน ลากเท้าขวามาชิดเท้าซ้าย และแยกเท้าซ้ายเฉียงขึ้นไปข้างหน้า 45 องศา
**ทำเช่นนี้อีก 1 ครั้ง จบการหมุน 1 รอบ**
ฝ่ายชายกลับมายืนหันหน้าทวนเข็มนาฬิกาตามทิศทางของฟลอร์เต้นรำ


โดย ลวดลายการเต้นรำจังหวะคิวบัน รัมบ้า จะคล้ายและมีชื่อเดียวกับลวดลายของจังหวะชา ชา ช่า จะต่างกันก็ตรงที่จำนวนการก้าวเท้าของคิวบัน รัมบ้า น้อยกว่า ชา ชา ช่า ลวดลายของจังหวะ คิวบัน รัมบ้า ที่เป็นลวดลายพื้นฐานและนิยมเต้นกันโดยทั่วไปได้แก่


1. เบสิค มูฟเม้นท์ (Basic Movement)


2. แฟน (Fan)


3. ฮอกกี้ สติ๊ก (Hocky Stic)


4. โอเพ่น ฮิพ ทวิสต์ (Open Hip Twist)


5. อเลมานา (Alemana)


6. แฮนด์ ทู แฮนด์ (Hand To Hand)


7. สปอท เทิร์น (Spot Turn)


8. แนชเชอรัล ทอป (Natural Top)


9. โอเพนนิ่ง เอ๊าท์ (Opening Out)


10. สไปรัล (Spiral)


วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

บรรณานุกรม

---http://warunee.chs.ac.th/unit_541.htm
---http://www.vcharkarn.com/varticle/39296
---http://www.vcharkarn.com/varticle/36847
---http://www.suriyothai.ac.th/th/node/954
---http://board.palungjit.com/f2/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B8%99-4-%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-262050.html
---http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87_E._coli_O104:H4_%E0%B8%9E.%E0%B8%A8._2554
---http://www.suthichaiyoon.com/detail/11006
---http://74.55.90.235/CCforum/DCForumID3/26832.html

โรคทางพันธุกรรม

 โรคทางพันธุกรรม โรคติดต่อทางพันธุกรรม
โรคทางพันธุกรรม

          โรคทางพันธุกรรม หรือ โรคติดต่อทางพันธุกรรม เป็น โรคที่เกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการถ่ายทอดพันธุกรรมของฝั่งพ่อและแม่ หาก หน่วยพันธุกรรมของพ่อและแม่มีความผิดปกติแฝงอยู่ โดยความผิดปกติเหล่านี้เกิดขึ้นมาจากการผ่าเหล่าของหน่วยพันธุกรรมบรรพบุรุษ ทำให้หน่วยพันธุกรรมเปลี่ยนไปจากเดิมได้

          ทั้งนี้ โรคทางพันธุกรรม นี้ เป็นโรคติดตัวไปตลอดชีวิต ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ โดย โรคทางพันธุกรรม เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม 2 ประการ คือ ความผิดปกติของออโตโซม (โครโมโซมร่างกาย) และความผิดปกติของโครโมโซมเพศ
โรคที่เกิดจากความผิดปกติบนออโตโซม (Autosome)

          โรคที่เกิดจากความผิดปกติบนออโตโซม คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมในร่างกาย ที่มี 22 คู่ หรือ 44 แท่ง สามารถเกิดได้กับทุกเพศ และมีโอกาสเกิดได้เท่า ๆ กัน โรคที่เกิดจากความผิดปกติบนออโตโซม แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ความผิดปกติที่จำนวนออโตโซม และความผิดที่รูปร่างโครโมโซม ประกอบด้วย
1.ความผิดปกติของจำนวนออโตโซม

          เป็นความผิดปกติที่จำนวนออโทโซมในบางคู่ที่เกินมา 1 โครโมโซม จึงทำให้โครโมโซมในเซลล์ร่างกายทั้งหมดเป็น 47 โครโมโซม เช่น ออโทโซม 45 แท่ง 1 โครโมโซมเพศ 2 แท่ง ได้แก่
กลุ่มอาการดาวน์ หรือ ดาวน์ซินโดรม ( Down's syndrome)

          เป็น โรคทางพันธุกรรม ที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซม โดยสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก โครโมโซมคู่ที่ 21 เกินมา 1 แท่ง คือ มี 3 แท่ง จากปกติที่มี 2 แท่ง ซึ่งทางการแพทย์เรียกว่า TRISOMY 21 นอกจากนั้นอาจมีสาเหตุมาจากการย้ายที่ของโครโมโซม เช่น โครโมโซมคู่ที่ 14 มายึดติดกับโครโมโซมคู่ที่ 21 เป็นต้น และยังมีสาเหตุมาจาก มีโครโมโซมทั้ง 46 และ 47 แท่ง ในคน ๆ เดียว เรียกว่า MOSAIC ซึ่งพบได้น้อยมาก

          ลักษณะของเด็กดาวน์ซินโดรม จะมีศีรษะค่อนข้างเล็ก แบน และตาเฉียงขึ้น ดั้งจมูกแบน ปากเล็ก ลิ้นมักยื่นออกมา ตัวเตี้ย มือสั้น อาจเป็นโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด หรือโรคลำไส้อุดตันตั้งแต่แรกเกิด มีภาวะต่อมไทรอยด์บกพร่อง และเป็นปัญญาอ่อน พบบ่อยในแม่ที่ตั้งครรภ์เมื่ออายุมาก
 กลุ่มอาการเอ็ดเวิร์ดซินโดรม ( Edward's syndrome)

          เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 18 เกินมา 1 โครโมโซม ทำให้เป็นปัญญาอ่อน ปากแหว่ง เพดานโหว่ คางเว้า นิ้วมือบิดงอ และกำแน่นเข้าหากัน ปอดและระบบย่อยอาหารผิดปกติ หัวใจพิการแต่กำเนิด ทารกมักเป็นเพศหญิง และมักเสียชีวิตตั้งแต่ก่อนอายุ 1 ขวบ
 กลุ่มอาการพาทัวซินโดม ( Patau syndrome)

          อาการนี้เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 13 เกินมา 1 โครโมโซม ทำให้เด็กมีอาการปัญญาอ่อน อวัยวะภายในพิการ และมักเสียชีวิตตั้งแต่แรกเกิด หรือหากมีชีวิตรอดก็จะมีอายุสั้นมาก
 2. ความผิดปกติของรูปร่างออโตโซม

          เป็นความผิดปกติที่ออโทโซมบางโครโมโซมขาดหายไปบางส่วน แต่มีจำนวนโครโมโซม 46 แท่ง เท่ากับคนปกติ ประกอบด้วย
 กลุ่มอาการคริดูชาต์ หรือ แคทครายซินโดรม (cri-du-chat or cat cry syndrome)

          เกิดจากโครโมโซมคู่ที่ 5 ขาดหายไปบางส่วน ทำให้ผู้ป่วยมีศีรษะเล็กกว่าปกติ เกิดภาวะปัญญาอ่อน หน้ากลม ใบหูต่ำ ตาห่าง หางตาชี้ นิ้วมือสั้น เจริญเติบโตได้ช้า เวลาร้องจะมีเสียงเหมือนแมว จึงเป็นที่มาของชื่อโรคนี้ว่า แคทครายซินโดรม (cat cry syndrome)
 กลุ่มอาการเพรเดอร์-วิลลี (Prader-Willi syndrome)

          เป็น โรคทางพันธุกรรม ที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมคู่ที่ 15 ทำให้ผู้ป่วยมีรูปร่างอ้วนมาก มือเท้าเล็ก กินจุ มีความบกพร่องทางสติปัญญา มีพฤติกรรมแปลก ๆ เช่น พูดช้า รวมทั้งเป็นออทิสติกด้วย


โครโมโซม

 โรคที่เกิดจากความผิดปกติที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมในโครโมโซมเพศ ( Sex chromosome)

          โครโมโซมเพศ ประกอบด้วย โครโมโซม 1 คู่ หรือ 2 แท่ง ในผู้หญิง เป็นแบบ XX ส่วนในผู้ชายเป็นแบบ XY โรคที่เกิดความผิดปกติในโครโมโซม สามารถเกิดได้ในทั้งหญิงและชาย แต่จะมีโอกาสเกิดขึ้นมากในเพศใดเพศหนึ่ง โดยลักษณะที่ควบคุมโดยยีนด้อยบนโครโมโซม X ได้แก่ หัวล้าน ตาบอดสี โรคฮีโมฟีเลีย โรคภาวะพร่องเอนไซม์ จี- 6- พีดี ( G-6-PD) โรคกล้ามเนื้อแขนขาลีบ การเป็นเกย์ และอาการต่าง ๆ นี้ มักพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง เนื่องจากผู้ชายมีโครโมโซม x เพียงตัวเดียว โรคที่เกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมเพศ ได้แก่
 ตาบอดสี (Color blindness)

          เป็นภาวะการมองเห็นผิดปกติ โดยมากเป็นการตาบอดสีตั้งแต่กำเนิด และมักพบในเพศชายมากกว่า เพราะเป็นการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแบบลักษณะด้อยบนโครโมโซม ผู้ที่เป็นตาบอดสีส่วนใหญ่จะไม่สามารถแยกความแตกต่างระหว่างสีเขียวและสีแดง ได้ จึงมีปัญหาในการดูสัญญาณไฟจราจร รองลงมาคือ สีน้ำเงินกับสีเหลือง หรืออาจเห็นแต่ภาพขาวดำ และความผิดปกตินี้จะเกิดขึ้นกับตาทั้งสองข้าง ไม่สามารถรักษาได้
 ฮีโมฟีเลีย (Hemophilia)

          โรคฮีโมฟีเลีย คือ โรคเลือดออกไหลไม่หยุด หรือเลือดออกง่ายหยุดยาก เป็น โรคทางพันธุกรรม ที่พบมากในเพศชาย เพราะยีนที่กำหนดอาการโรคฮีโมฟีเลียจะอยู่ใน โครโมโซม X และถ่ายทอดยีนความผิดปกตินี้ให้ลูก ส่วนผู้หญิงหากได้รับโครโมโซม X ที่ผิดปกติ ก็จะไม่แสดงอาการ เนื่องจากมี โครโมโซม X อีกตัวข่มอยู่ แต่จะแฝงพาหะแทน

          ลักษณะอาการ คือ เลือดของผู้ป่วยฮีโมฟีเลียจะไม่สามารถแข็งตัวได้ เนื่องจากขาดสารที่ทำให้เลือดแข็งตัว อาการที่สังเกตได้ เช่น เลือดออกมากผิดปกติ เลือดกำเดาไหลบ่อย ข้อบวม เกิดแผลฟกช้ำขึ้นเอง แต่โรคฮีโมฟีเลียนี้ สามารถรักษาได้ โดยการใช้สารช่วยให้เลือดแข็งตัวทดแทน
 ภาวะพร่องเอนไซม์ จี- 6- พีดี (G-6-PD : Glucose-6-phosphate dehydrogenase)

          โรคพร่องเอนไซม์ G6PD หรือ Glucose-6-phosphate dehydrogenase เป็น โรคทางพันธุกรรม ที่ทำให้เม็ดเลือดแดงแตกได้ง่าย เมื่อได้รับสิ่งกระตุ้น ซึ่งสาเหตุของ ภาวะพร่องเอนไซม์ จี- 6- พีดี นั้นเกิดจากความผิดปกติของโครโมโซมแบบ X  ทำให้เอนไซม์ G6PD ที่คอยปกป้องเม็ดเลือดแดงจากการทำลายของสารอนุมูลอิสระบกพร่อง จนไม่สามารถป้องกันการทำลายสารอนุมูลอิสระที่เป็นพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง ได้ ผู้ป่วยจึงมีอาการซีดเป็นครั้งคราว เนื่องจากเม็ดเลือดแดงแตกอย่างฉับพลัน ในเด็กจะมีอาการดีซ่าน ส่วนผู้ใหญ่จะปัสสาวะเป็นสีดำ ถ่ายปัสสาวะน้อยจนเกิดอาการไตวายได้ โดยสิ่งที่สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการได้ เช่น อาหารอย่างถั่วปากอ้า ที่มีสารอนุมูลอิสระมาก รวมทั้งการติดเชื้อโรคต่าง ๆ ทำให้เซลล์เม็ดเลือดขาวหลั่งสารอนุมูลอิสระมากขึ้น

          ทั้งนี้ โรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ ถ้ารู้จักการระวังตัว เช่น หลีกเลี่ยงยา หรืออาหารที่แสลง ก็จะไม่เกิดอันตราย ที่สำคัญคือ ผู้ป่วยต้องดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ไตวาย
 กลุ่มอาการเทอร์เนอร์ ( Turner's syndrome)

          เกิดในเฉพาะเพศหญิง สาเหตุจากโครโมโซม X หายไป 1 แท่ง ทำให้เหลือโครโมโซมในเซลล์ร่างกาย  45 แท่ง ผู้ป่วยจะมีอาการปัญญาอ่อน และตัวเตี้ย ที่บริเวณคอมีพังผืดกางเป็นปีก มักเป็นหมันและไม่มีประจำเดือน มีอายุเท่ากับคนปกติทั่ว ๆ ไป

 กลุ่มอาการไคลน์เฟลเตอร์ (Klinefelter's syndrome)

          พบในเพศชาย เกิดจากโครโมโซม X เกินมา 1 หรือ 2 โครโมโซม ทำให้คารีโอไทป์เป็น 47,XXY หรือ 48,XXXY ผู้ป่วยจะมีอาการปัญญาอ่อน รูปร่างอ้อนแอ้น สูงชะลูด หน้าอกโต มีเต้านมเหมือนผู้หญิง และเป็นหมัน เพราะไม่มีอสุจิ และมีอัณฑะเล็ก ยิ่งถ้ามีจำนวนโครโมโซม X มาก อาการปัญญาอ่อนก็จะรุนแรงมากขึ้น

 กลุ่มอาการทริปเปิ้ลเอ็กซ์ (Triple x syndrome)

          เกิดในผู้หญิง โดยจะมีโครโมโซม x เกินมา 1 แท่ง ทำให้เป็น XXX  รวมมีโครโมโซม 47 แท่ง ทำให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นหมัน เจริญเติบโตไม่เต็มที่ และไม่มีประจำเดือน

 กลุ่มอาการดับเบิลวาย (Double y syndrome)

          เกิดในผู้ชาย ที่มีโครโมโซม y เกินมา 1 แท่ง มีจีโนไทป์เป็น xyy เรียกว่า Super Male ลักษณะจะเป็นผู้ชายที่มีร่างกายปกติ แต่เป็นหมัน มีอารมณ์ฉุนเฉียว สูงมากกว่า 6 ฟุต มีระดับฮอร์โมนเพศชายในเลือดสูงกว่าปกติ ส่วนใหญ่เป็นหมัน ไม่สามารถมีบุตรได้

 โรคที่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมอื่น ๆ ได้แก่

 ฟีนิลคีโตนูเรีย (Phenylketonuria) หรือ (Phenylpyruvic oligophrenia)

          เป็น โรคทางพันธุกรรม ที่เกิดจากการถ่ายทอดทางโครโมโซม โดยโครโมโซมนั้นมีความบกพร่องของยีนที่สร้าง Phenylalanine hydroxylase ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถสร้างเอนไซม์นี้ได้ จึงไม่สามารถย่อยสลายกรดอะมิโน phenylalanine ไปเป็น tyrosine เหมือนคนปกติ จึงเกิดภาวะ phenylalaine สะสมในเลือดมากผิดปกติ และมี phenylpyruvic acid และกรดอินทรีย์อื่นปนในปัสสาวะ รวมทั้งอาการโลหิตเป็นพิษด้วย โดยผู้ป่วยฟีนิลคีโตนูเรียนี้ มักจะมีอาการปัญญาอ่อน และไม่สามารถรับประทานอาหารได้เหมือนคนทั่วไป โดยอาการฟีนิลคีโตนูเรียนี้ จะพบในคนผิวขาวมากกว่า และในประเทศไทยพบไม่มาก

 สไปโนซีรีเบลลาร์อะแท็กเซีย (spinocerebellar ataxia)

          เป็น โรคทางพันธุกรรม ที่ยังไม่มีทางรักษา โดยเกิดจากโพลีกลูตาไมน์ ไตรนิวคลีโอไทด์ ผลิตซ้ำมากเกินปกติ ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการเคลื่อนไหวทางกายภาพ ทั้งท่าเดิน การพูด ตากระตุก และอาจมีอาการอื่นร่วมด้วย แต่ระบบจิตใจและความรู้สึกนึกคิดยังปกติ
ทั้งนี้ สไปโนซีรีเบลลาร์อะแท็กเซีย มีหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะแสดงอาการต่าง ๆ กันไป รวมทั้งอายุของผู้ป่วยที่เริ่มเป็นโรค และลักษณะการถ่ายทอดทางพันธุกรรมก็แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของยีนบนโครโมโซมของผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ

 โรคทาลัสซีเมีย ( Thalassemia )

          โรคทาลัสซีเมีย เป็นลักษณะที่ถูกควบคุมด้วยยีนด้อยบนโครโมโซม ซึ่งเมื่อผิดปกติจะทำให้การสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเม็ดเลือดผิดปกติ เม็ดเลือดแดงจึงมีรูปร่างผิดปกติ นำออกซิเจนไม่ดี ถูกทำลายได้ง่าย ทำให้ผู้ป่วย โรคทาลัสซีเมีย เป็นคนเลือดจาง และเกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา

          ในประเทศไทยพบผู้ป่วย โรคทาลัสซีเมียร้อยละ 1 คือประมาณ 6 แสนคน แต่พบผู้เป็นพาหะถึงร้อยละ 30-40 คือประมาณ 20-25 ล้านคน ดังนั้นถ้าหากผู้เป็นพาหะมาแต่งงานกัน และพบยีนผิดปกติร่วมกัน ลูกก็อาจเป็น โรคทาลัสซีเมียได้ ทั้งนี้ โรคทาลัสซีเมีย แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แอลฟาธาลัสซีเมีย และ เบต้าธาลัสซีเมีย ซึ่งก็คือ ถ้ามีความผิดปกติของสายแอลฟา ก็เรียกแอลฟาธาลัสซีเมีย และถ้ามีความผิดปกติของสายเบต้าก็เรียกเบต้าธาลัสซีเมีย

          ผู้ป่วย โรคทาลัสซีเมีย จะมีอาการซีด ตาขาวสีเหลือง ตัวเหลือง ตับม้ามโตมาตั้งแต่เกิด ผิวหนังดำคล้ำ กระดูกใบหน้าจะเปลี่ยนรูป มีจมูกแบน กะโหลกศีรษะหนา โหนกแก้มนูนสูง กระดูกเปราะ หักง่าย เจริญเติบโตช้ากว่าคนปกติ ส่วนอาการนั้น อาจจะไม่รุนแรง หรืออาจรุนแรงจนถึงแก่ชีวิตเลยก็ได้ คนที่มีอาการมากจะมีอาการเลือดจางมาก ต้องให้เลือดเป็นประจำ หรือมีภาวะติดเชื้อบ่อย ๆ ทำให้เป็นไข้หวัดได้บ่อย

          ข้อแนะนำสำหรับผู้ป่วย โรคทาลัสซีเมีย คือ ให้ทานอาหารที่มีกรดโฟลิกสูง เช่น ผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ให้มาก ๆ เพื่อนำไปใช้สร้างเม็ดเลือดแดง

 โรคซีสติกไฟโบรซีส (Cystic fibrosis)

          เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรม ที่ทำให้ร่างกายสร้างเยื่อเมือกหนามากผิดปกติในปอดและลำไส้ ทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก และเยื่อเมือกหนาเหล่านั้นอาจทำให้ปอดติดเชื้อ หากมีแบคทีเรียเติบโตอยู่ ส่วนเยื่อเมือกหนาในลำไส้ จะทำให้ย่อยอาหารได้ลำบาก ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ แต่สามารถบรรเทาได้โดยการใช้ยาสลายเยื่อเมือก
โรคซิกเกิลเซลล์ (Sickle-cell)

          เป็นความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกิดขึ้นกับเลือด ทำให้ฮีโมโกลบินมีรูปร่างผิดปกติ เซลล์เม็ดเลือดแดงเป็นรูปเคียว จึงไม่สามารถลำเลียงออกซิเจนได้มากเท่ากับเซลล์เม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่าง ปกติ ส่งผลให้เกิดอาการหลอดเลือดอุดตัน ผู้ป่วยจะอ่อนเพลียและไม่มีแรง

 โรคคนเผือก (Albinos)

          ผู้ที่เป็น โรคคนเผือก คือ คนที่ไม่มีเม็ดสีที่ผิวหนัง จะมีผิวหนัง ผม ขน และม่านตาสีซีด หรือีขาว เพราะขาดเม็ดสีเมลานิน หรือมีน้อยกว่าปกติ ทำให้ทนแสงแดดจ้าไม่ค่อยได้

 โรคดักแด้

          ผู้เป็น โรคดักแด้ จะมีผิวหนังแห้งแตก ตกสะเก็ด ซึ่งแต่ละคนจะมีความรุนแรงของโรคต่างกัน บางคนผิวแห้งไม่มาก บางคนผิวลอกทั้งตัว ขณะที่บางคนหากเป็นรุนแรงก็มักจะเสียชีวิตจากการติดเชื้อที่เข้าทางผิวหนัง

 โรคท้าวแสนปม (neurofibromatosis)

          เป็นโรคผิวหนังที่ถ่ายทอดโดยโครโมโซม ลักษณะที่พบคือ ร่างกายจะมีตุ่มเต็มไปทั่วร่างกาย ขนาดเล็กไปจนใหญ่ แบ่งเป็น 2 ชนิด คือชนิดที่พบบ่อย พบประมาณ 1 ใน 2,500 ถึง 3,500 คน โดยพบอาการอย่างน้อย 2 ใน 7 อาการต่อไปนี้คือ มีปานสีกาแฟใส่นมอย่างน้อย 6 ตำแหน่ง, พบก้อนเนื้องอกตามผิวหนัง 2 ตุ่มขึ้นไป, พบกระที่บริเวณรักแร้หรือขาหนีบ, พบเนื้องอกของเส้นประสาทตา, พบเนื้องอกของม่านตา 2 แห่งขึ้นไป, พบความผิดปกติของกระดูก และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้   

          ส่วน โรคท้าวแสนปม ประเภทที่ 2 พบได้น้อยมาก ราว 1 ใน 50,000 ถึง 120,000 คน ผู้ป่วยจะไม่มีอาการทางผิวหนัง แต่จะพบเนื้องอกของหูชั้นใน และมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้

 โรคลูคีเมีย (Leukemia)

          โรคลูคีเมีย หรือ โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของไขกระดูก ทำให้มีการสร้างเม็ดเลือดขาวจำนวนมากในไขกระดูก จนเบียดบังการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง ส่วนเม็ดเลือดขาวที่สร้างนั้น ก็เป็นเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน จึงไม่สามารถต้านทานเชื้อโรคได้ จึงเป็นไข้บ่อย ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคลูคีเมีย มีหลายปัจจัย ทั้งพันธุกรรม กัมมันตภาพรังสี การติดเชื้อ เป็นต้น

          อาการของผู้ป่วย ลูคีเมีย จะแสดงออกมาในหลายรูปแบบ เช่น มีไข้สูง เป็นหวัดเรื้อรัง หน้ามืด วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ตัวซีด เซลล์ลูคีเมียจะไปสะสมตามอวัยวะต่าง ๆ เช่น ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ทำให้เกิดอาการบวมโต บางคนเป็นรุนแรง ทำให้ถึงแก่ชีวิตได้

          การรักษา โรคลูคีเมีย ทำได้โดยให้ยาปฏิชีวนะ เพื่อลดจำนวนเม็ดเลือดขาว หรืออาจใช้เคมีบำบัด เพื่อให้ไขกระดูกกลับมาทำหน้าที่ตามปกติ

 โรคเบาหวาน

          โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ เนื่องจากขาดฮอร์โมนอินซูลิน ทั้งนี้โรคเบาหวาน ถือเป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง และเป็น โรคทางพันธุกรรม โดยหากพ่อแม่เป็นเบาหวาน ก็อาจถ่ายทอดไปถึงลูกหลานได้และนอกจากพันธุกรรมแล้ว สิ่งแวดล้อม วิธีการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร ก็มีส่วนทำให้เกิดโรคเบาหวานได้เช่นกัน

          อาการทั่วไปของผู้ที่เป็น โรคเบาหวาน คือจะปัสสาวะบ่อย เนื่องจากน้ำตาลที่ออกมาทางไตจะดึงเอาน้ำจากเลือดออกมาด้วย จึงทำให้มีปัสสาวะมากกว่าปกติ เมื่อถ่ายปัสสาวะมาก ก็ทำให้รู้สึกกระหายน้ำ ต้องคอยดื่มน้ำบ่อย ๆ และด้วยความที่ผู้ป่วย โรคเบาหวาน ไม่สามารถนำน้ำตาลมาเผาผลาญเป็นพลังงาน จึงหันมาเผาผลาญกล้ามเนื้อและไขมันแทน ทำให้ร่างกายผ่ายผอม ไม่มีไขมัน กล้ามเนื้อฝ่อลีบ อ่อนเปลี้ย เพลียแรง นอกจากนี้ การมีน้ำตาลคั่งอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ จึงทำให้อวัยวะต่าง ๆ เกิดความผิดปกติ และนำมาซึ่งภาวะแทรกซ้อนมากมาย โดยเฉพาะ โรคไตวายเรื้อรัง, หลอดเลือดตีบตีน, อัมพฤกษ์ อัมพาต, ต้อกระจก, เบาหวานขึ้นตา ฯลฯ

 การป้องกันโรคทางพันธุกรรม

          โรคทางพันธุกรรม ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เนื่องจากกจะติดตัวไปตลอดชีวิต ทำได้แต่เพียงบรรเทาอาการไม่ให้เกิดขึ้นมากเท่านั้น ดังนั้นการป้องกัน โรคทางพันธุกรรม ที่ดีที่สุด คือ ก่อนแต่งงาน รวมทั้งก่อนมีบุตร คู่สมรสควรตรวจร่างกาย กรองสภาพทางพันธุกรรมเสียก่อน เพื่อทราบระดับเสี่ยง อีกทั้งโรคทางพันธุกรรม บางโรค สามารถตรวจพบได้ในช่วงก่อนตั้งครรภ์ จึงเป็นทางหนึ่งที่จะช่วยให้ทารกที่จะเกิดมา มีความเสี่ยงในการเป็นโรคทางพันธุกรรมน้อยลง


เหตุการณ์ปัจจุบัน: E-coli ระบาด

               การระบาดของ Escherichia coli O104:H4 ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ในบัดนี้นั้น เริ่มมาแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2554 ในประเทศเยอรมนี โดย Escherichia coli หรือที่มักเรียกโดยย่อว่า E. coli นั้น เป็นแบคทีเรียชนิดหลักชนิดหนึ่งซึ่งก่อสารพิษแก่อาหาร
การระบาดเริ่มมีขึ้นหลังชาวเยอรมันจำนวนหนึ่งติดเชื้อแบคทีเรียนี้และนำไปสู่กลุ่มอาการยูเรเมียเหตุเลือดสลาย (hemolytic-uremic syndrome) อันเป็นภาวะฉุกเฉินทางแพทย์ที่จำต้องให้การบำบัดเยียวยาโดยรีบด่วน เบื้องต้น เจ้าพนักงานในเยอรมันชี้ว่า ต้นตอคือแตงกวาที่ปนเปื้อน ซึ่งมาจากประเทศสเปน ทว่า ต่อมาเยอรมนีพบว่า แตงกวาจากสเปนหาใช่ต้นเหตุแห่งการระบาดไม่ ยังให้สเปนเกรี้ยวกราดเป็นอันมากในเรื่องที่เยอรมนีเชื่อมโยงแตงกวาสเปนกับการระบาดโดยปราศจากการตรวจสอบนอกจากการระบาดในเยอรมนีแล้ว นับแต่วันที่ 2 มิถุนายนสืบมา มีรายการว่าพบผู้ติดเชื้อแบคทีเรียดังกล่าวอย่างน้อยสองพันคน และห้าร้อยคนพบว่าอยู่ในกลุ่มอาการยูเรเมียเหตุเลือดสลาย ซึ่งกำลังอยู่ในความพยาบาลของแพทย์ โดยประเทศที่ปรากฏผู้ติดเชื้่อนั้น รวมถึง ประเทศสวิตเซอร์แลนด์, ประเทศโปแลนด์, ประเทศเนเธอร์แลนด์, สหราชอาณาจักร และ สหรัฐอเมริกา ที่สำคัญ ผู้ติดเชื้อทั้งมวลไปเยอรมนีมาก่อนจะป่วย
                 เจ้าหน้าที่สาธารณสุขเยอรมัน ยืนยันว่ามีการตรวจพบกรณีการระบาดระหว่างมษุษย์สู่มนุษย์เป็นครั้งแรกของเชื้อแบคทีเรียอีโคไล สายพันธุ์ที่กำลังระบาดหนักอยู่ในยุโรป ซึ่งคร่าชีวิตผู้เคราะห์ร้ายไปแล้วเกือบ 40 ราย
เจ้าหน้าที่เปิดเผยว่า ผู้หญิงซึ่งทำงานอยู่ในห้องครัวของบริษัทแห่งหนึ่งเกิดล้มป่วยลงด้วยฤทธิ์ของแบคทีเรียดังกล่าวหลังจากที่ไปกินถั่วงอก และเธอได้แพร่เชื้อไปยังคนอื่นๆอีก 20 คน ที่เธอเป็นคนทำอาหารให้

                เรื่องนี้ทำให้รัฐมนตรีสาธารณสุข แดเนียล บาห์ บอกว่าตอนนี้เราก็มีหลักฐานแล้วที่จะสามารถบอกได้ว่ามนุษย์สามารถปล่อยเชื้อโรคไปยังผัก และจากผัก มันก็จะผ่านไปยังคนอื่นๆ
ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเรื่องโรคติดเชื้อ ก็อธิบายว่าเชื้อโรคสามารถผ่านจากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ผ่านการตระเตรียมอาหารได้ เพราะการระบาดนั้นต้องการเชื้อจำนวนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การระบาดของเชื้อตัวนี้ เริ่มเมื่อเดือนพฤษภาคม และตลอดช่วง 3 สัปดาห์ ก็ได้ขยายวงจนเข้าขั้นวิกฤติ โดยมีเมืองฮัมบูร์ก เป็นศูนย์กลางการระบาด

               โดยปกติ เชื้อ E. coli พบได้ทั่วไปในระบบทางเดินอาหารส่วนปลายของสิ่งมีชีวิตเลือดอุ่น โดยเฉพาะมนุษย์ E. coli จะออกมาสู่สิ่งแวดล้อมกับอุจาระ แต่เชื้อเหล่านี้ ปกติจะไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ และจะอยู่ในสภาพแวดล้อมได้ไม่นานนัก จึงถูกใช้เป็นดัชนีทางด้านสาธารณะสุข ของอาหาร โดยหากพบเชื้อดังกล่าวในอาหาร น้ำ หรือสิ่งแวดล้อม แสดงว่าสิ่งเหล่านั้น อาจปนเปื้อนด้วยอุจาระมาไม่นานนัก การปนเปื้อนด้วยอุจาระ แสดงถึงความไม่ปลอดภัย เพราะมีเชื้อโรคหลายชนิดแพร่กระจายมากับอุจาระ ได้แก่เชื้อ โรคในระบบต่างเดินอาหาร ชนิดต่างๆ เช่น โรคอหิวาตกโรค โรคบิด และโรคท้องร่วงต่างๆ เป็นต้น
แต่ปัจจุบัน สามารถพบว่า เชื้อ E. coli เองก็สามารถก่อให้เกิดโรคกับมนุษย์ได้ ในบางสายพันธุ์ ซึ่งมีความสามารถสร้างสารพิษได้ สายพันธุ์ที่พบว่ามีอันตราย ได้แก่สายพันธุ์ O157 H7 ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ด้วยการตรวจสอบทางซีรัมวิทยา ส่วนลักษณะทางสรีระวิทยาทั่วไป จะเหมือนกับ E. coli สายพันธุ์ที่ไม่ก่อให้เกิดโรค
 
         คำแนะนำสำหรับประชาชน
โรคอุจจาระร่วง หรือ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ ทั้งหมดเป็นโรคที่ประชาชนสามารถป้องกันได้ด้วยการกันดูแลสุขอนามัยในการรับประทานอาหาร การเก็บอาหาร และการปรุงอาหาร รวมทั้งล้างมือหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง
         องค์การอนามัยโลกได้กำหนดกฎทอง 10 ประการ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการป้องกันตนเองให้ปลอดภัยจากโรคอุจจาระร่วง คือ
             1.   เลือกอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย เช่น เลือกนมที่ผ่านกระบวนการพาสเจอร์ไรซ์ ผักผลไม้ควรล้างด้วยน้ำปริมาณมากๆ ให้สะอาดทั่วถึง
             2.   ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึงก่อนรับประทาน
             3.  รับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆ
             4.   หากมีความจำเป็นต้องเก็บอาหารที่ปรุงสุกไว้นานกว่า 4-5 ชั่วโมง ควรเก็บไว้ในตู้เย็นส่วนอาหารสำหรับทารกนั้นไม่ควรเก็บไว้ข้ามมื้อ
            5.   ก่อนที่จะนำอาหารมารับประทานความอุ่นให้ร้อน
            6.  ไม่นำอาหารที่ปรุงสุกแล้วมาปนกับอาหารดิบอีก เพราะอาหารที่สุกอาจปนเปื้อนเชื้อโรคได้
            7.   ล้างมือให้สะอาด ไม่ว่าจะเป็นก่อนการปรุงอาหาร ก่อนรับประทาน และโดยเฉพาะหลังการเข้าห้องน้ำ
            8.   ดูแลความสะอาดของพื้นที่สำหรับเตรียมอาหาร ล้างทำความสะอาดหลังการใช้ทุกครั้ง
            9.  เก็บอาหารให้ปลอดภัยจากแมลง หนู หรือสัตว์อื่นๆ
           10.  ใช้น้ำสะอาดในการปรุงอาหาร และควรระวังเป็นพิเศษในการใช้น้ำเพื่อเตรียมอาหารเด็กทารกได้
 
         
                อย่างไรก็ตามเมื่อประชาชนหรือเด็กในครอบครัวมีอาการของโรคอุจจาระร่วงก็สามารถเริ่มต้นรักษาได้ที่บ้านโดยใช้กฎ 3 ข้อ ขององค์การนามัยโลก
                       1. ให้สารน้ำละลายเกลือแร่โอ อาร์ เอส หรือ ของเหลวมากกว่าปกติ เพื่อป้องกันการขาดน้ำ
                        2. ให้อาหารอ่อนย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก หรือน้ำข้าว หรือแกงจืด ไม่งดอาหาร เพื่อป้องกันการขาดสารอาหาร

                       3. เมื่ออาการโรคอุจจาระร่วงไม่ดีขึ้นก็ควรไปพบเจ้าหน้าที่สาธารณสุขหรือแพทย์ได้แก่
        - ถ่ายเป็นน้ำมากขึ้น
        - อาเจียนบ่อย กินอาหารไม่ได้
        - กระหายน้ำกว่าปกติ
        - มีไข้สูง
        - ถ่ายอุจจาระเป็นมูกหรือปนเลือด